จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

My Gac

นานๆ ทีจะมีเวลาไปสวน รอบนี้ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตที่ทำให้เราตื่นตาตื่นใจ
ปลูกฟักข้าวไว้นานเกือบปีแล้ว เพิ่งได้เห็นผลฟักข้าว หรือที่เรียกกันว่า Gac


หน้าตาฟักข้าวน่ารักมาก อยากเก็บไว้ชื่นชมนานๆ แต่เกรงจะเน่า
จะเอาไปกินก็ทำกินไม่เป็น
พอลอง search หาวิธีการปรุงเป็นอาหาร ได้ความว่า เอาเยื่อสีแดงข้างในมาหุงกับข้าวกิน
แต่เราว่าจะไปทำเป็นน้ำหวานสีแดงดีกว่า 

ระหว่างอ่านไปได้ซัก 3-4 web พบว่า ฟักข้าวมีประโยชน์มากมาย
มันเป็น super fruit ชนิดหนึ่งในโลกเลยทีเดียว (อลังการมาก)

 ก็เลยเลือกเวบของหมอชาวบ้านมาให้ดูกันว่าฟักข้าวมันเจ๋งจริงๆ

---------------------------------------------------------------------------------
จาก http://doctor.or.th/node/1060
โดย    รศ.ดร.สุธาทิพ ภมรประวัติ 
กลุ่มวิชาเภสัชโภชนศาสตร์  โครงการบัณฑิตศึกษา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์



ฟักข้าวอาหารต้านมะเร็ง

ฟักข้าว Momordica cochinchinnensis (Lour.) Spreng.
อยู่ในวงศ์แตงกวาและมะระคือวงศ์  Cucurbitaceae
ชื่อเรียกอื่นคือ ขี้กาเครือ (ปัตตานี) ผักข้าว (ตาก ภาคเหนือ) มะข้าว (แพร่) แก็ก (Gac  เวียดนาม) Baby Jackfruit, Spiny Bitter Gourd, Sweet Gourd, และ Cochin-chin Gourd
ฟักข้าวมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน พม่า ไทย ลาว บังกลาเทศ มาเลเซียและฟิลิปปินส์ เป็นพืชที่ชาวเวียดนามใช้ประกอบอาหารมาก ในชนบทมีปลูกกันเกือบทุกบ้านเรือน
ฟักข้าว เป็นไม้เถาเลื้อยพัน  มีมือเกาะ ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงแบบสลับ ใบรูปหัวใจหรือรูปไข่ กว้างยาวเท่ากันประมาณ ๖-๑๕ เซนติเมตร ขอบใบหยักเว้าลึกเป็นแฉก ๓-๕ แฉก
ดอกเป็นดอกเดี่ยวพบที่ซอกใบ ต้นแยกเพศอยู่คนละต้น กลีบดอกสีขาวแกมเหลือง ตรงกลางมีสีน้ำตาลแกมม่วง ใบประดับมีขน
ผลอ่อนมีสีเขียวอมเหลือง เจริญได้เองโดยไม่ต้อง ถูกผสม เมื่อผลสุกจะมีสีแดง ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดหรือแยกรากปลูก 

ฟักข้าวเริ่มมีดอกหลังแยกรากปลูกประมาณ ๒ เดือน เริ่มผลิดอกราวเดือนพฤษภาคมและให้ดอกจน  ถึงราวเดือนสิงหาคม  ผลสุกใช้เวลาประมาณ ๒๐ วัน และใน ๑ ฤดูกาลจะเก็บเกี่ยวผลฟักข้าวได้ ๓๐-๖๐ ผล  โดยเก็บผลสุกได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์

ผลของฟักข้าวมี ๒ ชนิด ผลยาวมีขนาดยาว ๖-๑๐ เซนติเมตร ส่วนผลกลมยาว ๔-๖ เซนติเมตร เปลือกผลอ่อนสีเขียวมีหนามถี่ เปลี่ยนเป็นสีส้มแก่หรือแดงเมื่อผลสุก แต่ละผลหนักตั้งแต่ ๐.๕-๒ กิโลกรัม

ที่ประเทศเวียดนามมักปลูกฟักข้าวพาดพันไม้ระแนงข้างบ้าน และเก็บเฉพาะผลสุกมาประกอบอาหาร แต่เนื่องจากฟักข้าวให้ผลดีที่สุดในช่วงฤดูหนาว ชาวเวียดนามจึงนิยมใช้ประกอบอาหารในเทศกาลปีใหม่และงานมงคลสมรสเท่านั้น

ผลฟักข้าวมีเปลือกหนา ผลสุกเนื้อในหนามีสีส้ม ภายในมีเยื่อสีแดงให้เมล็ดเกาะ เนื้อผลสุกกินได้ ที่ประเทศเวียดนามใช้เยื่อสีแดงและเมล็ด (มีน้ำมัน) เป็นยา ฟักข้าว ๑ ผลจะได้เยื่อสีแดงราว ๒๐๐ กรัม 

ประโยชน์ทางโภชนาการ
ในประเทศไทยใช้ผลฟักข้าวอ่อนสีเขียวเป็นอาหาร รสชาติเนื้อฟักข้าวเหมือนมะละกอ ลวกหรือต้มให้สุกหรือ ต้มกะทิจิ้มน้ำพริกกะปิ หรือใส่แกง ยอดอ่อน ใบอ่อนนำ มาเป็นผักได้ นำมานึ่งหรือลวกให้สุกกินกับน้ำพริก หรือนำไปปรุงเป็นแกง เช่น แกงแค

ประเทศเวียดนามกินข้าวเหนียวหุงกับเยื่อเมล็ดผลฟักข้าวสุก เนื่องจากชาวเวียดนามถือว่าสีขาวเป็น   สีแห่งความตาย ข้าวสีส้มแดงจึงจัดเป็นมงคลต่องานเทศกาลต่างๆ ชาวเวียดนามเอาเยื่อสีแดงจากผลฟักข้าวสุกพร้อม เมล็ดมาหุงกับข้าวเหนียว ได้ข้าวสีส้มแดงมีกลิ่นหอม ต้องมีเมล็ดฟักข้าวติดมาในข้าวด้วยจึงว่าเป็นของแท้  ถึงกับมีการหุงข้าวใส่สีผสมอาหารสีแดงเลียนแบบการใช้ฟักข้าวนอกฤดูกาลก็มี เชื่อว่าบำรุงสายตา

เยื่อเมล็ดของฟักข้าวมีปริมาณบีตาแคโรทีนมาก กว่าแครอต ๑๐ เท่า มีไลโคพีนมากกว่ามะเขือเทศ ๑๒ เท่า  และมีกรดไขมันขนาดยาวประมาณร้อยละ ๑๐ ของมวล การกินบีตาแคโรทีนจากฟักข้าวพบว่าดูดซึมในร่างกายได้ดีเพราะละลายได้ในกรดไขมันดังกล่าว

ความเชื่อที่ว่าฟักข้าวบำรุงสายตานั้นถูกต้อง แต่ต้องกินส่วนที่มาจากเยื่อเมล็ดไม่ใช่ส่วนอื่น  เมื่อใช้เยื่อฟักข้าวเสริมอาหารให้กับเด็กก่อนวัยเรียนในงานวิจัยในประเทศเวียดนาม พบว่าเด็กในกลุ่มมีปริมาณบีตาแคโรทีนและไลโคพีนในพลาสมาสูงขึ้น และกลุ่มที่มีปริมาณความเข้มข้นของเฮโมโกลบินต่ำมีความเข้มข้น เพิ่มขึ้นด้วย จึงแนะนำให้ผู้มีเลือดจางกินข้าวหุงเยื่อเมล็ดฟักข้าวสุกด้วย ปัจจุบันมีผู้นำเยื่อเมล็ดนี้ผลิตเป็นเครื่องดื่มอาหารเสริมจำหน่ายในต่างประเทศ
 

ไลโคพีนเป็นสารกลุ่มแคโรทีนอยด์  พบได้ในผักและผลไม้บางชนิด ทำหน้าที่เป็นรงควัตถุรวบรวมแสงให้แก่พืช และป้องกันพืชผักจากออกซิเจนโมเลกุลเดี่ยว (อนุมูลอิสระ) และแสงที่จ้าเกินไป  การกินไลโคพีนที่มีฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นได้รับการพิสูจน์จากวงการแพทย์ว่ามีผลลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร  เนื่องจากเยื่อเมล็ดฟักข้าวมีไลโคพีน มากกว่าผลไม้อื่นๆ ทุกชนิด  จึงถือว่าเป็นอาหารต้านมะเร็งที่ดีที่สุดชนิดหนึ่งจากฤทธิ์ของไลโคพีนฤทธิ์ในการบำบัดรักษาโรคประเทศจีน
ใช้เมล็ดแก่ของฟักข้าวเป็นยามานานกว่า ๑,๒๐๐ ปี ใช้บำบัดอาการอักเสบบวม กลากเกลื้อน ฝี อาการฟกช้ำ ริดสีดวง แก้ท้องเสีย อาการผื่นคันและโรคผิวหนังติดเชื้อต่างๆ ทั้งในมนุษย์และสัตว์ต่างๆ การกินฟักข้าวเป็นยานั้น ใช้เมล็ดแก่บดแห้ง  ส่วนการใช้ภายนอก ให้นำเมล็ดฟักข้าวบดแห้งผสมน้ำมันหรือน้ำส้มสายชูเล็กน้อยทาบริเวณที่มีอาการ และใช้เยื่อเมล็ดแทนสีผสมอาหาร งานวิจัยในประเทศจีนพบว่าโปรตีนจากเมล็ดมีความสามารถต้านอนุมูลอิสระและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ตับในหลอดทดลอง  เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของฤทธิ์ทางชีวภาพของเมล็ดฟักข้าว ถือว่าลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระจึงมีฤทธิ์ป้องกันมะเร็ง นอกจากนี้ เมล็ดฟักข้าวเป็นส่วนผสมของยาแก้ปวดกล้ามเนื้อและคลายกล้ามเนื้อในเครื่องยาจีนหลายตำรับ

ประเทศเวียดนาม
การวิจัยทางคลินิกที่มหาวิทยาลัยฮานอย พบว่าน้ำมันจากเยื่อเมล็ดฟักข้าวมีประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งตับ

ประเทศไทย
มีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดลเกี่ยวกับสรรพคุณของเมล็ดฟักข้าว  พบโปรตีนที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อเอชไอวี-เอดส์ และยับยั้งเซลล์มะเร็งจดสิทธิบัตรในประเทศไทยแล้ว งานวิจัยอื่นของไทยและต่างประเทศพบว่า เมล็ดแก่ของฟักข้าวมีโปรตีน มอร์มอโคลชิน-เอส  และโคลชินิน-บี  มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของไรโบโซมซึ่งเป็นแหล่งผลิตกรดอะมิโน และต้านการเจริญของเซลล์มะเร็งหลายชนิดในหลอดทดลอง ซึ่งอาจนำไปใช้พัฒนา เภสัชภัณฑ์ได้ในวันข้างหน้า

ประเทศฟิลิปปินส์และประเทศไทย
ใช้รากฟักข้าวสระผมเพื่อกำจัดเหา ใช้รากบดหมักผมกระตุ้นให้ผมดก ประเพณีล้านนาของไทยใช้   ฟักข้าวในการดำหัว (คือการสระผม) สตรีล้านนา ดำหัวสัปดาห์ละครั้ง ยาสระผมŽ ประกอบด้วย ฝักส้มป่อยจี่ ผลมะกรูดเผา ผลประคำดีควายหมกไฟพอให้สุก รากของต้นฟักข้าว รากแหย่งบดหยาบ ทั้งหมดผสมกับน้ำอุ่นหมักผมไว้สัก    ระยะหนึ่งแล้วจึงล้างออก จะทำให้แก้คันศีรษะ แก้รังแค แก้ผมร่วงและช่วยให้ผมดกดำ

ประเทศญี่ปุ่น
ทำการวิจัยพบว่า โปรตีนจากสารสกัดน้ำของผลฟักข้าวยับยั้งการเจริญของก้อนมะเร็งลำไส้ใหญ่ในหนูทดลอง โดยลดการแผ่ขยายของหลอดเลือดรอบก้อนมะเร็งและชะลอการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งดังกล่าว ในห้องทดลองน้ำสกัดผลฟักข้าวยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งตับและมะเร็งลำไส้ใหญ่โดยการทำให้เซลล์แตกตาย
ผลอ่อนฟักข้าวกินได้ ผลแก่ก็อุดมคุณค่า ลองหาพันธุ์มาปลูกให้เลื้อยเล่นหน้าบ้านจะได้กินเมื่อใจ ปรารถนา เป็นการสร้างสุขภาพป้องกันโรคร้ายได้อย่างดี 

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คอมพิวเตอร์กับการเรียน

ยุคนี้ มันยิ่งกว่าโลกาภิวัฒน์นะ ว่ามั้ย
ใครจะทำอะไรๆๆๆๆ ที่ไหนๆๆๆ อย่างไรๆๆๆ ก็รู้กันไปหมด
นี่ขนาดประเทศไทยยังไม่ใช้ 3G อย่างเป็นทางการนะนี่

แต่ตอนนี้ครูแก่ๆ อย่างเราขอประกาศเป็นศัตรูกับคอมพิวเตอร์ชั่วคราว
เขียนบทความนี้เสร็จค่อยเป็นมิตรกับมันอีกครั้ง

เราขอประนาม search engine ที่ทำให้เด็กไทยอ่านหนังสือน้อยลง
จากข้อมูลต่างๆ (เยอะ แต่สงสัยว่าเค้าเก็บข้อมูลยังไงนะ) บอกว่าคนไทยอ่านหนังสือน้อยลง
เช่น ปี 2552 คนไทยอ่านหนังสือ 8 บรรทัดต่อปี, ปี 2551 คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยคนละ 39 นาทีต่อวัน  ลดลงจากปี 2548 ซึ่งคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ย คนละ 46 นาทีต่อวัน

แต่เชื่อมั้ยคะว่าคนไทยน่าจะอ่านหนังสือได้มากกว่านั้น ถ้าไม่มี search engine
ย้อนอดีตไปสมัยเราเป็นเด็ก (หุๆ จินตนาการกันหน่อยนะ)
การที่เราจะหาคำตอบอะไรซักอย่างจากการบ้าน เราจำเป็นต้องอ่านหนังสือคราวละหลายๆ หน้า และอ่านมากกว่า 1 เล่ม เพราะมันจำเป็น
คำตอบมิได้ปรากฏให้เราเห็นง่ายๆ เราต้องค่อยๆ อ่านไปทีละบรรทัดอย่างรวดเร็วเพื่อหามัน
บางครั้งก็ไม่สามารถหาคำตอบตรงๆได้ เราต้องคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุป เพื่อสร้างคำตอบ
จะให้ง่ายกว่านั้น ก็ลอกเพื่อน...แต่อันนี้ไม่แนะนะคะ
แต่ปัจจุบัน การค้นคว้าง่ายเพียงปลายนิ้ว แค่สัมผัสปุ่่มเล็กๆ หน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วพิมพ์คำว่า google ลงไป อยากได้อะไรก็หามาได้หมด
มีไฮไลท์ให้ด้วยนะว่าคำที่เราต้องการอยู่ตรงไหน
สบาย ไม่ต้องเสียเวลาอ่าน เราสามารถเลื่อน scollbar ไปยังตำแหน่งที่ต้องการ แล้วลอกคำตอบไปส่งคุณครู

ทีนี้เราลองเปรียบเทียบผลได้ผลเสียกันดูนะ ว่าแบบอดีต กับปัจจุบันมันต่างกันอย่างไร
1. การอ่านหนังสือใช้เวลานานกว่าใช้ search engine
2. การสืบค้นข้อมูลด้วยหนังสือ ต้องไปห้องสมุด แต่ search engine สามารถทำเองที่บ้าน สบายๆ
3. ใช้ search engine สามารถค้นคว้าได้ทั่วโลก มองเป็นมุมมองความคิดของผู้อื่นด้วย ไม่ต้องวิเคราะห์เอง
4. ใช้ search engine มีเครื่องมือเยอะกว่า สามารถเปลี่ยน search word ก็ได้ หารูปประกอบก็ได้ วีดีโอก็มี สบ้าย สบายยยยยยยยยยยยย
5. อีกเยอะ ขี้เกียจพิมพ์ค่ะ

ฟังดูแล้วเหมือนวิธีใหม่ๆ ทันสมัยแบบใช้่ search engine จะง่ายดาย มีแต่ข้อดี  เมื่อเทียบกับการค้นคว้าแบบโบราณแล้วสบายผิดกัน
แต่ท่ามกลางข้อเสียของวิธีการค้นคว้าแบบเก่าๆ ก็มีบางอย่างที่ผู้คนมองข้ามไป
การอ่านหนังสือ กว่าเราจะอ่านเจอสิ่งที่ต้องการ สายตาเราต้องผ่านความรู้อื่นๆที่เป็นพื้นฐานก่อน
ความรู้อื่นที่ผ่านเข้ามาในสายตา แม้เราไม่ต้องการแต่มันก็ถูกบันทึกลงในสมองของเราอย่างไม่ตั้งใจ
ความรู้หลากหลายที่ถูกจดจำ มันจะถูกแยกแยะลงในลิ้นชักแห่งความจำแบบเป็นหมวดหมู (อันนี้ ขึ้นอยู่กับแต่ละคนนะ)
เมื่ออ่านจบ สมองเราจะทำงานเรียงลำดับเนื้อความแบบมีตรรกะ
แล้วสมองของเราก็จะเรียบเรียงถ้อยคำเพื่อสั่งให้มือขีดเขียน ตอบคำถามเพื่อให้คนอ่านเข้าใจ

เห็นมั้ยคะว่าหากเราเรียนด้วย search engine ผ่าน network ที่มีคอมพิวเตอร์เป็น interface มันเป็นวิธีเรียนที่บั่นทอนความสามารถของตัวเอง และที่สำคัญ เป็นการเรียนที่ดูถูกตัวเองมาก มันไม่ต่างอะไรกับวีธีการลอกการบ้านจากเพื่อนเลยนะคะ

เอาละ ถึงตอนนี้ เราขอถอนคำพูด (ซะงั้น)
เราขอกลับไปเป็นมิตรกับคอมพิวเตอร์เหมือนดังเดิม

ขอกลับคำให้การ นักเรียน นักศึกษา ก็สามารถใช้ search engine เพื่อเรียนหนังสือได้
แต่.......นักศึกษาควร
1. เลือกสื่อที่ใช้ เช่น เป็น e-book ที่มีสำนักพิมพ์รับรอง
2. เลือกอ่าน journal ที่มีวิธีทดลองอย่างเป็นระบบ
3. เวบบลอก (แบบที่กำลังอ่านอยู่นี่) มักเขียนขึ้นมาจากบุคคลที่ไม่ทราบตัวตน ควรพิจารณาให้ดี อย่าเพิ่งไปเชื่อนะคะ ต้องพิจารณาก่อน
4. อย่าใช้เครื่องมือ หรือโปรแกรมช่วยค้นหาคำในหน้าจอ นักศึกษาควรอ่านเพื่อออกกำลังสมอง คิดเยอะๆ อ่านเยอะๆ ฉลาดๆ
5. อ่านมากกว่า 1 แหล่ง เพื่อเพิ่มสถิติความหน้าเชื่อถือของข้อมูล
6. อีกเยอะ ช่วยกันคิดหน่อยสิ

สุดท้ายแล้ว นักศึกษาควรออกกำลังกายนะคะ ไปห้องสมุดบ้างเพื่อสร้างสถิติการอ่านหนังสือให้ชาติ

ช่วยชาติพัฒนา กายาแข็งแรง





(รอบนี้ แอบพูดให้ดูดีแบบพวกจบ IT อิอิ ความจริงมีความรู้เท่าหางลูกน้ำ)

อ้างอิง
http://panchalee.wordpress.com/2011/01/25/decadeofreading/
http://muangthai.premierbestbuys.com/tour-thailand-24503.html

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ขาว ขาว ที่สาวๆ ต้องการ

มีคำถามในห้องเรียน จากนักศึกษาสาวๆ ว่ากินกลูต้าไธโอนผิวขาวจริงมั้งคร้าาาาาาาาาาาาจารย์

คำตอบคือ
แทบจะไม่ขาวขึ้นเลย

หนูๆ อยากขาวลองเข้าไปอ่านข้อความในเวบนี้ดูสิคะ
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=6

แต่สาวๆน่ะมีดีที่เปล่งปลั่ง เป็นพลังเสน่ห์ที่ครูแก่ๆอย่างเราทำไม่ได้....(เศร้า Y__Y)

เลยอยากจะเล่าอะไรให้อ่านเกี่ยวกับความงามในแบบศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์

1. ความสวยคืออะไร ใครรู้บ้าง
    บางคนบอกว่า ความสวยคือความสมมาตร และสมดุล
    บางคนบอกว่า ความสวยคือโค้งเว้า
    บางคนก็ว่า ความสวยคือเรียบง่าย
    แต่สุดท้าย ทุกความสวยขึ้นอยู่กับสายตาคนมอง ('Beauty is in the eye of the holder')

    ตาโต จมูกโด่ง ปากบางเฉียบ ผิวขาวราวแช่โอโม่ข้ามคืนนี่ ...สวยในแบบนึงที่สาวๆปรารถนา แต่สักวัน คุณจะเจอคนที่หันมามองคุณว่าสวย หรืออาจจะเจอกันแล้วเป็นได้

2. ความสวยจากข้างใน
    สวยจากจิตใจ ใครๆก็อยากคบ
    สวยจากภายใน เปล่งปลั่ง ก็สร้างกันได้ค่ะ ไม่ยาก
    ดื่มน้ำเยอะ เติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิวพรรณ
    ดื่มแอลกอฮอล์น้อยๆๆๆๆๆ ลดสารพิษให้กับผิวพรรณ
    รับประทานผลไม้หลากสี เพิ่มสารต้านออกซิเดชั่น

หลายคนคงสงสัยว่าออกซิเดชั่นเกี่ยวอะไรกับผิวเรา   
ติดไว้ก่อนดีกว่า ไม่เฉลย
ลองหาคำตอบกันดูจากวิชา general chemistry

สุดท้าย อารมณ์ดี ให้กับทุก moment จิตใจเบิกบาน อะไรๆก็สวยไปหมดแม้แต่เวลาส่องกระจก อิ อิ อิ

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

5 ขั้นตอนสำหรับผู้เริ่มต้นทำโจทย์ mass balance

มาเจอกันอีกครั้ง คราวนี้เอาเทคนิคง่ายๆ ในการทำโจทย์ mass balance มาฝากจร้าาาาาาาาาาาา
แต่เป็นขั้นตอนสำหรับผู้เริ่มต้นนะคะ คนที่ชำนาญแล้วจะมีวิธีเป็นของตนเอง ข้าน้อยก็ขอเยินยอที่สามารถ

(เพราะว่า วิชา food eng เป็นวิชาทักษะค่ะ ไม่จำเป็นต้องทำวิธีเดียวกัน แต่ต้องได้คำตอบเหมือนกัน ใครทำเยอะ ก็จะเกิดความชำนาญ ก็จะสามารถหาวิธีของตนเองได้ ซึ่งเป็นหนทางแห่งความเป็นเซียน เมื่อถึงเวลานั้นท่านจะรู้ว่า Food engineering นี่สนุกจริงๆ)

เอาละ เรามาเริ่ม 5 ขั้นตอนกันเลย
1. วาด process diagram และตั้งชื่อตัวแปรต่างๆ
2. ป้อนข้อมูลที่มีทั้งหมด (จากโจทย์) ลงใน process diagram
3. เขียนสมการ Total Mass Balance
4. เขียนสมการสมดุลมวลอื่นๆที่ไม่ใช่ total เช่น water, solid, oil, ....
5. เลือกสมการในข้อ 3-4 มาแก้สมการเพื่อหาค่าพารามิเตอร์ต่างๆ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ลองดูตัวอย่างกันนะคะ
โจทย์
ต้องการปรับความเข้มข้นน้ำเชื่อมความเข้มข้น 20% จำนวน 100 kg ให้มีความเข้มข้นมากขึ้นเป็น 50% ด้วยน้ำตาลทรายบริสุทธิ จงคำนวณหาปริมาณน้ำตาลทรายที่ต้องการ และปริมาณน้ำเชื่อมเข้มข้นที่ได้
วิธีทำ
1. process diagram

     โดยให้ S1, S2, S3 = น้ำเชื่อม 20%, น้ำตาลทราย และ น้ำเชื่อม 50% ตามลำดับ
2.  ป้อนข้อมูที่มีลงใน diagram











     S1 = 100 kg,
     S1solid = 0.2x100 kg = 20 kg
     S1water = (1-0.2)x100 kg = 80 kg
     S3solid = 0.5S3
     S3water = (1-0.5)S3 = 0.5S3
3. เขียนสมการ Total mass balance
   
                   mass in = mass out

                  S1 + S2 = S3
    แทนค่า
                100 + S2 = S3      .........(eq.1)

4. เขียนสมการ mass balance อื่นๆ

    Water mass balance
   
                S1water + S2water = S3water  
    แทนค่า
                  80 kg +  0       = 0.5S3   ..........(eq.2)
                                S3     =  80/0.5
                                         =  160 kg
     Solid mass balance
         
                S1solid + S2solid  = S3solid  
    แทนค่า
                 20kg +  S2          = 0.5S3 ...............(eq.3)
 
5. เลือกสมการที่หาค่าตัวแปรที่ต้องการ
    จากโจทย์ เราหาค่า น้ำเชื่อมเข้มข้น (S3) ได้แล้ว ดังนั้นเลือกสมการที่ 1 เพื่อแทนค่า และหาค่าปริมาณน้ำต้าลทราย (S2)

     แทนค่า S3 ลงใน eq.1

                100 kg + S2   = 160 kg
                               S2   = 160-100 kg  = 60 kg

คำตอบของข้อนี้คือ
ต้องใส่น้ำตาลทราย 60 kg
ได้ปริมาณน้ำเชื่อมเข้มข้น 160 kg
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เป็นอย่างไรคะ ง่ายมั้ยคะ
ถ้าอยากทำอีกก็ลองเข้าไปดูใน
http://www.nzifst.org.nz/unitoperations/matlenerg2.htm
http://blowers.chee.arizona.edu/201project/MBIntro.pg1.HTML
http://sst-web.tees.ac.uk/external/U0000504/Notes/ProcessPrinciples/Balance/Balance.html

จบดีกว่า วันนี้เขียนซะยาวเลย

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เจอแล้ว เวบที่สอนทำการบ้านวิชา Food Engineering

ขอบคุณ ขอบคุณ ท่าน Professor Singh (R. Paul Sigh) จาก UCDavis สหรัฐอเมริกา ซึ่งเชียวชาญด้านวิศวกรรมอาหาร และแต่งหนังสือมากมาย ท่านได้ทำเวบไซต์

http://www.rpaulsingh.com/

นักศึกษาลองเข้าไปดูสิคะ มีทั้ง lecture note และ exam
มีงานเขียน งานวิจัยมากมาย
(ข้าพเจ้าขอสารภาพว่า ไม่ไหวจะอ่าน เยอะจริงๆ)
นักศึกษาลองเข้าไปทำการบ้านตามแล้วกันนะคะ

โชคดีทุกคน

ชอบประมวลรายวิชา (Syllabus) ของเขาจริงๆ เลยมาเล่าสู่กันฟัง

ประมวลรายวิชาจาก Rowan University ประเทศสหรัฐอเมริกา
อาจารย์ท่านเขียนประมวลรายวิชาในส่วน team homework และ professional behavior ได้ดีจริง

แบบนี้แหละที่อยากให้เด็กไทยทำ
ทำการบ้านร่วมกัน และมีความเป็นนักศึกษามืออาชีพ
เด๊วเราจะเอาอย่าง เขียนใส่ outline แบบนี้มั่ง
แต่แหม แต่เกณฑ์การให้เกรดท่านสูงจริงๆ ให้ A ตั้ง 90
จะทำเลียนแบบเค้ามั่งดีมั้ยล่ะก่าก๊า


สารพัดกลโกงเพื่อทำคะแนน (จาก www.myfirstbrain.com)

อยากได้คะแนน แต่ไม่อยากได้ความรู้ ก็มีหลายวิธีที่จำทำได้
1. ลอกข้อสอบ
2. จดโพยเข้าห้องสอบ อันนี้มีหลายวิธีให้ทำ
3. ลอกรายงาน
4. เข้าไปเช็คชื่อนับเวลาเรียน
5. อื่นๆ (ข้อนี้มีไว้ให้คนเขียนที่ขี้เกียจ)

ลองอ่านใน เวบลิงค์ข้างล่างดู
https://www.myfirstbrain.com/teacher_view.aspx?ID=5714

ไม่ใช่ให้ดูเพื่อเลี่ยนแบบกันนะคะ แต่ให้รู้ว่านักศึกษาทำได้ อาจารย์ก็จับได้เหมือนกัน
หุๆๆ

(ใกล้สอบแล้ว รีบอ่านหนังสือกันดีกว่า ได้ความรู้ที่ใครก็ขโมยจากเราไปไม่ได้)